วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ประวัติ
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีโบราณสถานโบราณวัตถุที่สำคัญอยู่มากมาย จึงได้รับประกาศให้เป็นโบราณสถานของชาติ ดังประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๓ ตอนที่ ๓๔ หน้า ๑๕๓๐ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๔๗๙ และประกาศขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุจำนวน ๒๑ รายการ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๑๖ หน้า ๗๒๖-๗๒๘ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๒ ทั้งนี้เพราะแทบทุกที่ทุกทางภายในวัด ล้วนมีคุณค่าต่อการศึกษาและมีประโยชน์สำหรับอนุชนทั้งสิ้น ซึ่งจะขอกล่าวถึงโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญภายในวัดตามลำดับ ดังนี้
องค์พระบรมธาตุเจดีย์
สัญลักษณ์ของเมืองนครศรีธรรมราชที่รู้จักกันดีในทุกภาคของประเทศไทย ตลอดถึงต่าง ประเทศก็คือองค์พระบรมธาตุเจดีย์ อันเป็นมิ่งขวัญของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชและชาวพุทธทั้งมวล เพราะเป็นที่บรรจุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ เคารพสักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังการูประฆังคว่ำหรือโอคว่ำ ตั้งอยู่บนลานทักษิณสี่เหลี่ยมกล่าวกันว่า แต่เดิมรูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์ไม่ได้มีรูปทรงอย่างทุก วันนี้ที่เห็นเป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อครอบเจดีย์องค์เก่าไว้ พระเจดีย์องค์เดิมที่อยู่ภายในนั้น สร้างตามคติความเชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ในสมัยศรีวิชัยประมาณ พ.ศ. ๑๓๐๐ พระบรมธาตุเจดีย์องค์เดิมจึงสร้างแบบสถาปัตยกรรมศรีวิชัย รูปแบบจึงคล้ายพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีครั้นถึงสมัยศรีวิชัยตอนปลายประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐ พุทธศาสนานิกายหินยาน เจริญมากในลังกา ดังนั้น ไทยพม่าและมอญจึงส่งพระภิกษุไปศึกษาพระธรรมวินัยที่ลังกา พระภิกษุสงฆ์จากเมืองนครศรีธรรมราชนี่เองที่ไป ศึกษาดังกล่าว พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราชซึ่งทรงเป็นศาสนูปถัมภกได้จัดส่งไป เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกลับมานคร ใน พ.ศ. ๑๗๗๐ ก็ชักชวนพระภิกษุชาวลังกามาตั้งคณะสงฆ์ที่ เมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า “พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์” ระยะนั้นพระบรมธาตุเจดีย์ ของเมืองนครศรีธรรมราชองค์เดิมกำลังชำรุดทรุดโทรมมาก พระเจ้าจันทรภาณุ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ผู้เป็นพุทธศาสนูปถัมภกได้ทรงเห็นพระมหาธาตุเจดีย์ชำรุดทรุดโทรม จึงได้บูรณะซ่อมสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๗๗๐ ให้เป็นไปตามสถาปัตยกรรมลังกา แต่ไม่ได้ทำอันตรายแก่พระมหาธาตุเจดีย์องค์เดิม คงก่อสถูปแบบลังกาหุ้มเจดีย์องค์เดิมไว้ เหมือนอย่างเช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณะซ่อมสร้างเจดีย์ นครปฐมหุ้มครอบพระเจดีย์องค์เดิมไว้ ฉะนั้นองค์พระบรมธาตุเจดีย์ที่พระเจ้าจันทรภาณุทรงบูรณะ ซ่อมสร้างขึ้นใหม่นั้น คือ พระบรมธาตุเจดีย์ที่เห็นประจักษ์อยู่บัดนี้ เจดีย์องค์เดิมนั้น ได้ค้นพบเมื่อคราวปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และมีหลักฐานยืนยันว่า ชาวลังกาเคยมาอยู่เมืองนครศรีธรรมราชจริงๆ นอกจากพระบรมธาตุเจดีย์แล้วยังมีโบราณวัตถุ ที่ขุดพบด้วย คือ ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ขุดพบพระพุทธรูปลังกาทำด้วยหินสีเขียวคล้ายมรกต หนึ่งองค์ ฝีมือช่างลังการุ่นเก่า โดยขุดพบที่บริเวณพระพุทธบาทจำลอง ในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ วัดพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเชื่อว่าภายในองค์พระบรมธาตุเจดีย์ นั้นปรากฏตามตำนานว่า มีสระกว้างยาวด้านละ ๘ วา ลึก ๘ วา รองด้วยศิลาแผ่นใหญ่ ข้างๆ ผูกด้วยปูนเพชรทั้ง ๔ ด้าน ในสระนั้นทำเป็นสระเล็กขึ้นสระหนึ่ง หล่อด้วยปูนเพชร กว้างยาว ๒ วา ลึก ๒ วา ใส่น้ำพิษนาคมีแม่ขันทองคำ ใส่ผอบทองคำบรรจุพระทันตธาตุ ลอยอยู่ในสระนั้น กับมีทองคำ ๔ ตุ่ม ตุ่มหนึ่งหนัก ๓๘ คนหาม ตั้งอยู่สี่มุมสระนั้นด้วย” | |
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
ประวัติ
ตามตำนานกล่าวว่าหลวงปู่ทวด เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ซึ่งเป็นทาสในเรือนเบี้ย (ทาสทำงานใช้หนี้) ของเศรษฐีปานเกิดในรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อ 3 มีนาคม พ.ศ. 2125 ณ บ้านสวนจันทร์ (บ้านเลียบ) ต.ดีหลวง (ปัจจุบันเป็นตำบลชุมพล) อ.สทิงพระ(จะทิ้งพระ) จ.สงขลา แรกเกิดมีชื่อว่าปู ขณะท่านเกิดมีเหตุอัศจรรย์คือเกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เสมือนหนึ่งว่ามีผู้มีบุญญาธิการมาเกิด เมื่อตัดรกจากสายสะดือแล้วนายหูบิดาของท่านก็นำรกของท่านไปฝังไว้ที่โคนต้นเลียบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ต้นเลียบในปัจจุบัน
เมื่อท่านเกิดมาแล้วก็มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นกับท่านเรื่อยมา เป็นต้นว่า ขณะที่ท่านอยู่ในวัยแบเบาะในช่วงฤดูเกี่ยวข้าวบิดามารดาของท่านต้องออกไปเกี่ยวข้าวที่กลางทุ่งนาซึ่งเป็นนาของเศรษฐีปาน ซึ่งท้องนาแห่งนั้นห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ที่นาแห่งนั้นมีดงตาลและมะเม่าเป็นจำนวนมากครั้งนั้นจึงเรียกว่าทุ่งเม่า ปัจจุบันตั้งเป็นสำนักสงฆ์ชื่อนาเปล ในสมัยนั้นจึงมีสัตว์ป่าชุกชุมพอสมควร บิดามารดาของท่านจึงผูกเปลของท่านซึ่งเป็นเปลผ้าไว้กับต้นมะเม่าสองต้นและก็ได้เกี่ยวข้าวอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น พอได้ระยะเวลาที่นางจันทร์ต้องให้นมลูก นางจันทร์จึงเดินมาที่ที่ปลูกเปลของลูกน้อย และก็เห็นงูจงอางตัวใหญ่หรืองูบองหลาที่ชาวภาคใต้เรียกกันพันที่รอบเปล นางจันทร์เห็นแล้วตกใจเป็นอันมากจึงเรียกนายหูซึ่งอยู่ไม่ไกลนักมาดูและช่วยไล่งูจงอางนั้น แต่งูจงอางนั้นก็ไม่ไปไหน นายหูและนางจันทร์จึงตั้งสัตยาธิฐานว่าขออย่าให้งูนั้นทำร้ายลูกน้อยเลย ไม่นานนักงูจงอางนั้นก็คลายวงรัดออกและเลื้อยหายไปในป่านายหูและนางจันทร์จึงเข้าไปดูลูกน้อยเห็นว่ายังหลับอยู่และไม่เป็นอันตรายใด ๆ และปรากฏว่ามีเมือกแก้วขนาดใหญ่ที่งูจงอางคลายไว้อยู่บนอกเด็กชายปูนั้น เมือกแก้วนั้นมีแสงแวววาวและต่อมาได้แข็งตัวเป็นลูกแก้ว ปัจจุบันได้ประดิษฐานที่วัดพะโคะ เมื่อเศรษฐีปานทราบเรื่องเข้าก็บีบบังคับขอลูกแก้วเอาจากนายหูและนางจันทร์ บิดามารดาของท่านจึงจำต้องยอมให้ลูกแก้วนั้นแก่เศรษฐีปานซึ่งเป็นนายเงิน แต่ลูกแก้วนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิประจำตัวท่าน เมื่อเศรษฐีปานเอาลูกแก้วไปแล้วก็เกิดเภทภัยในครอบครัวเกิดการเจ็บป่วยกันบ่อย และมีฐานะยากจนลง เศรษฐีปานจึงได้เอาลูกแก้วมาคืนและขอขมาเด็กชายปู และยกหนี้สินให้แก่นายหูและนางจันทร์ ทั้งสองจึงพ้นจากการเป็นทาสและต่อมาก็มีฐานะดีขึ้น ๆ ส่วนเศรษฐีปานก็มีฐานะดีขึ้นดังเดิม
เมื่อท่านมีอายุได้ประมาณ 7 ขวบ พ.ศ. 2132 บิดามารดาของท่านจึงนำท่านไปฝากไว้เป็นศิษย์วัดเพื่อเล่าเรียนหนังสือ ที่วัดกุฎ๊หลวงหรือวัดดีหลวงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้บ้านท่าน ขณะนั้นมีท่านสมภารจวง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ เด็กชายปูเป็นเด็กที่หัวดีเรียนเก่งสามารถเล่าเรียนภาษาขอมและภาษาไทยได้อย่างรวดเร็ว สมภารจวงได้บวชให้ท่านเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 15 ปี ตอนที่ท่านบวชเป็นสามเณรนี้เองบิดาของท่านจึงถวายลูกแก้วคืนให้แก่ท่านเป็นลูกแก้วประจำตัวท่านต่อไปด้วยความที่เป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้ตลอดเวลาของท่าน ต่อมาท่านสมภารจวงได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสือที่สูงขึ้นสมัยนั้นเรียกว่ามูลบทบรรพกิจ ปัจบันก็คือเรียนนักธรรมนั่นเอง โดยนำไปฝากเรียนไว้กับสมเด็จพระชินเสน ซึ่งเป็นพระเถระชั้นสูงที่ส่งมาจากกรุงศรีอยุธยา ให้มาครองเป็นเจ้าอาวาสวัดสีคูยังหรือวัดสีหยังในปัจจุบัน ห่างจากวัดดีหลวงไปทางเหนือประมาณ 4 กิโลเมตร ท่านได้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและจบหลักสูตรที่วัดสีคูยังนั้น หลังจากนั้นท่านได้เดินทางเข้ามาศึกษาต่อที่เมืองนครศรีธรรมราชเพื่อเรียนหนังสือให้สูงขึ้น โดยมาพำนักอยู่ที่วัดเสมาเมือง ซึ่งเป็นสำนักเรียนและมีสมเด็จพระมหาปิยะทัสสี เป็นเจ้าอาวาส และบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุครบกาลอุปสมบท ท่านได้ศึกษาวิชาจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ จนมีความรู้และเป็นผู้ทรงอภิญญามาก และได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากสมเด็จพระเอกาทศรศในครั้งสุดท้ายในราชทินนามที่ สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ สุดท้ายเมื่อท่านมีอายุได้ 80 ปี ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดพะโคะ วัดบ้านเกิดของท่าน ต่อมาท่านได้สั่งเสียกับลูกศิษย์ว่าเมื่อท่านมรณภาพให้นำพระศพท่านไปไว้ที่วัดช้างไห้ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ต่อไปสถานที่ข้างหน้าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้คนมาเที่ยว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธสิหิงค์
ประวัติ
พระพุทธสิหิงค์ หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า พระสิงห์ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้าคู่เมือง ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งด้วยมีลักษณะพระพุทธรูปที่งดงามสมส่วน ศิลปะสมัยสุโขทัยประทับนั่งขัดสมาธิ ปางสมาธิ ตามตำนานกล่าวกันว่า พระมหากษัตริย์แห่งลังกาทรงสร้าง ด้วยการเนรมิตของ พญานาคองค์หนึ่งที่แปลงกายเป็นพระพุทธรูปด้วยอิทธานุภาพของตน แล้วให้ช่างทำการปั้นหุ่นไว้ เมือ่ทำการปั้นเสร็จแล้ว ได้ืำทำการสมโภชเฉลิมฉลองเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน แล้วโปรดให้ขนานนามว่า พระสีหลปฏิมาพระพุทธสิหิงค์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบร่มเย็น นับตั้งแต่เริ่มสร้าง หมาชนก็ได้สักการบูชามากมาย และได้เข้ามาสู่ประเทศไทย ได้ประดิษสถานในที่ต่าง ๆ ก็มีความสงบร่มเย็น ปวงอาณาประชาราษฎร์อยู่กันอย่างสงบสุข และเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะโดยแท้ จะเห็นได้ว่าในคราวที่บ้านเมืองเกิดสงคราม ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะก็จะอัญเชิญไปประดิษฐานยังบ้านเมืองของตน เพื่อสักการะบูชาและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บ้าเมืองและอาณาประชาราษฎร์ ดังนัน้ พระพุทธสิหิงค์จึงประดิษฐานอยู่หลายแห่งในประเทศไทย ตำนานเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์นั้น ได้มีผู้รู้รจนาไว้ในที่หลายแห่ง เช่น ในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งแต่งโดยพระรัตนะปัญญาเถระ และอีกหลายท่านที่ได้แต่งไว้
พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงห์นั้นมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน แต่เท่าที่มีตำนานปรากฏในที่ต่าง ๆ มีอยู่ ๓ องค์คือ
- องค์แรก ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งพุทธไธสวรรย์ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นองค์จริงที่ได้มาจากกรุงลังกา
- องค์ที่สอง ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์มหาวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ที่ชาวเหนือนิยมเรียกกันว่า พระสิงห์ และถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญของบ้านเมืองด้วย
- องค์ที่สาม ประดิษฐานอยู่ ณ หอพระสิงห์ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช (เดิม)
- องค์ที่สาม ประดิษฐานอยู่ ณ หอพระสิงห์ บริเวณศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช (เดิม)
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีอีกหลายองค์ที่เป็นองค์จำลองเพื่อให้มหาชนได้สักการบูชา จากตำนานการสร้างและการประดิษฐานอยู่ในที่ต่าง ๆ ทำให้พระพุทธสิหิงค์ได้ชื่อว่า เป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทย อันนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นแก่บ้านเมือง ตลอดถึงผู้ที่ได้สักการบูชาเป็นนิตย์ด้วย
พระพุทธสิหิงค์ ศาลากลางจังหวัด (เดิม) นครศรีธรรมราช
สถานที่ประดิษสถาน หอพระสิหิงค์ ในบริเวณศาลากลางจังหวัด (เดิม) จังหวัดนครศรีธรรมราช พระพุทธสิหิงค์องค์นี้ชาวนครศรีธรรมราช เชื่อกันว่า เป็นพระพุทธสิหิงค์ที่ปรากฏในตำนานสิงคนิทาน และในการนำพระพุทธสิหิงค์เข้ามายังเมืองไทยนั้น ไดประิดิษฐาน ณ เมืองนครศรรีธรรมราชเป็นแห่งแรก ต่อมาได้นำไปประดิษฐานในที่ต่าง ๆ เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนทั่วไป พระพุทธสิหิงค์องนี้ มีพุทธลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปามารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๑๖.๘ นิ้ว เป็นศิลปะแบบขนมต้มสกุลช่างนครศรีธรรมราช สร้างด้วยโลหะ มีลักษณะคล้ายที่ประดิษฐานที่จังหวัดเชียงใหม่ทุกประการ ต่างแ่พระพุทธสิหิงค์องค์นี้มีพระโอษฐ์กว้างกว่า มีวงพระพักตร์แบน และกว้างกว่าเท่านั้น มีชสยจีวรจีบเป็นริ้ว หลายชั้นซ้อนกันอยู่ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช และเป็นที่เคารพบูชาของคนทั่วไป ในช่วงวันสงกรานต์จะมีพิธีอัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำ สักการะบูชาเพื่อความสิริมงคล
สถานที่ประดิษสถาน หอพระสิหิงค์ ในบริเวณศาลากลางจังหวัด (เดิม) จังหวัดนครศรีธรรมราช พระพุทธสิหิงค์องค์นี้ชาวนครศรีธรรมราช เชื่อกันว่า เป็นพระพุทธสิหิงค์ที่ปรากฏในตำนานสิงคนิทาน และในการนำพระพุทธสิหิงค์เข้ามายังเมืองไทยนั้น ไดประิดิษฐาน ณ เมืองนครศรรีธรรมราชเป็นแห่งแรก ต่อมาได้นำไปประดิษฐานในที่ต่าง ๆ เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนทั่วไป พระพุทธสิหิงค์องนี้ มีพุทธลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปามารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๑๖.๘ นิ้ว เป็นศิลปะแบบขนมต้มสกุลช่างนครศรีธรรมราช สร้างด้วยโลหะ มีลักษณะคล้ายที่ประดิษฐานที่จังหวัดเชียงใหม่ทุกประการ ต่างแ่พระพุทธสิหิงค์องค์นี้มีพระโอษฐ์กว้างกว่า มีวงพระพักตร์แบน และกว้างกว่าเท่านั้น มีชสยจีวรจีบเป็นริ้ว หลายชั้นซ้อนกันอยู่ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช และเป็นที่เคารพบูชาของคนทั่วไป ในช่วงวันสงกรานต์จะมีพิธีอัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำ สักการะบูชาเพื่อความสิริมงคล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อนุสาวรีย์วีรไทย (พ่อจ่าดำ)
อนุสาวรีย์วีรไทย หรือ อนุสาวรีย์พ่อจ่าดำ เป็นอนุสาวรีย์สร้างขึ้นเพื่อรำลึกความกล้าหาญของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่สองตั้งอยู่บริเวณภายในค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่4 ต.ปากพูน อ.เมือง นครศรีธรรมราช
อนุสาวรีย์วีรไทย หรือที่ชาวคอนเรียกกันว่า พ่อจ่าดำ หรือเจ้าพ่อดำ ตั้งอยู่ภายในใจกลางของค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่ 4 จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปตามถนนสายนครศรีธรรมราช-ท่าแพ ทางทิศเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก เพื่อปกป้องมาตุภูมิ เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร และยุวชนทหารช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ทั้ง 6 ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรืออนุสาวรีย์วีรไทย ยังยืนตระหง่านบนจุดที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา
เรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวนั้น มีดังนี้ คือ ใน พ.ศ. 2482 ได้เกิดวิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป โดยมีเยอรมนี และอิตาลีซึ่งเรียกว่าฝ่ายอักษะฝ่ายหนึ่ง กับสัมพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสอีกฝ่ายหนึ่ง การสงครามได้ขยายตัวกว้างขวาง ครั้นถึง พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ สงครามได้ลุกลามเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันในประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มลายู และไทย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคมพ.ศ. 2488 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่โจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และปราจีนบุรีโดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด
จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6 ในเวลานั้นมีพลตรีหลวงเสนาณรงค์เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบประมาณ 15 ลำ มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา พลตรีหลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการรับศึกและสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลาโดยด่วน ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคนทำการต่อสู่เต็มกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า พื้นที่บริเวณสู้รบอยู่ในแนวเขตทหารด้านเหนือ กับบริเวณตลาดท่าแพ มีถนนราชดำเนินผ่านพื้นที่ในแนว เหนือ-ใต้ การรบทำได้ไม่สะดวกนัก เพราะ ตลอดเวลาตั้งแต่ 07.00-10.00 น. ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก การเตรียมรับมือข้าศึก ภายหลังที่ได้รับโทรเลขฉบับนั้น ผู้บังคับบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการให้แตรเดี่ยว ณ กองทัพรักษาการณ์ประจำกองบัญชาการ เป็นสัญญาณเหตุสำคัญ และเรียกหัวหน้าหน่วยที่ขึ้นครงมาประชุมที่กองบัณชาการมณฑลเพื่อเตรียมรับมือข้าศึกซึ่ง ผบ.มณฑล คาดว่าคงจะบุกขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ในขณะที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่ ผบ.มณ ได้สั่งการและมอบหมายหน้าที่รับข้าศึกอย่างรีบเร่งอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งข่าวจาก พลฯ จ้อน ใจชื่อ และ พลฯ เติม ลูกเสือ สังกัดหน่วยป.พัน 15 ซึ่งเป็นเวรตรวจเหตุการณ์ที่บ้านท่าแพ (ใกล้ค่ายวชิราวุธ) ว่าได้พบกองทหารญี่ปุ่นกำลังยกขึ้นจากเรือรบไม่ทราบจำนวนพลทหาร และลำเลียงกำลังด้วย เรือท้องแบนมาตามคลองท่าแพ จะขึ้นที่ท่าแพ ในขณะที่จะพยายามจะกลับมารายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบก็ถูกทหารญี่ปุ่นควบคุมตัว แต่ พลฯ จ้อน ใจซื่อ พยายามหลบหนี มารายงานผู้บังคับบัญชาได้ในเวลา07.00 น. และในเวลาเดียวกัน ส.ท.ประศาสน์ ลิทธิ์วิลัย ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งขาวนี้แก่ผู้บังคับการมณฑลด้วย ผบ.มณฑล ได้สั่งการให้เปิดคลังแสงและจ่ายอาวุธปืนเล็ก ปืนกล และปืนประสุนให้แก่ทุกคนที่ยังไม่มีอาวุธประจำกาย และประกาศให้ทุกคนทำการสู้อย่างเต็มสติกำลัง โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด ผู้ที่ไม่มีผู้บังตับบัญชาแน่นอน ก็ให้เข้าสมทบกับหน่วยใดหน่วยหนึ่งซึ่งประจำอยู่ตามแนวต่างๆ ในหน่วยร.17 พอคำสั่งด้วยวาจาไม่ว่าจะเป็นคำสั่งประกาศขาดคำลง ผู้รับคำสั่งทุกคนทุกหมู่ทุกเหล่าได้รีบลงมือปฏิบัติตามโดยทันที โดยมิได้มีการสะทกสะท้านหวาดกลัว หรือแสดงอาการตื่นเต้นลังเลแม้แต่น้อย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สระล้างดาบศรีปราชญ์
สระน้ำเก่าแก่
เชื่อว่าเป็นสระที่ใช้ล้างดาบเล่มที่ใช้ประหารศรีปราชญ์เป็นกวีเอกสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ที่มีความผิดจึงถูกเนรเทศมายังเมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อศรีปราชญ์ทำความผิดอีกครั้งหนึ่ง พระยานครศรีธรรมราชจึงได้สั่งประหารชีวิต ซึ่งในปัจจุบันนั้นอยู่ในพื้นที่บริเวณเขตโรงเรียนกัลยาศรีธรรมราช และได้รับการปรับปรุงใหม่ ลักษณะของสระล้างดาบ มีความลึก 3-5 เมตร และมีความเชื่อว่าศรีปราชญ์ ได้กล่าวสาบคำสาบแช่ง ต่อเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ที่ลงโทษประหารชีวิตตน และต่อมานั้น ก็ได้มีบุคคลได้ตกลงในสระและเสียชีวิตในสระดังกล่าวนนั้นมากมาย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กำแพงเมืองโบราณ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น